จรรยาบรรณในการใช้คอมพิวเตอร์
โลกปัจจุบันเป็นยุคของเทคโนโลยีสารสนเทศหรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า
โลกแห่งยุคไอที ซึ่งหมายรวมถึงการใช้เทคโนโลยีในการพัฒนาระบบคมนาคมและข้อมูลข่าวสารอันเป็นการลดระยะทางการติดต่อระหว่างประเทศ
ทำให้มีการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ
และการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกันมากยิ่งขึ้น
ซึ่งแน่นอนว่าคอมพิวเตอร์ย่อมมีบทบาทสำคัญในยุคของข้อมูลข่าวสาร
และ เมื่อคอมพิวเตอร์มีบทบาทและมีความสำคัญมากขึ้นเท่าใด
สิ่งที่ต้องยอมรับความจริง
คือ เทคโนโลยีที่ใช้ย่อมมีจุดเด่นจุดด้อยทั้งสิ้น
ทั้งที่มาจากเทคโนโลยีหรือมาจากผู้ที่ใช้เทคโนโลยีเอง
ปัจจุบันผลลบของการใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์
คือ การก่อให้เกิดปัญหาการขยายตัวของอาชญากรรมข้ามชาติและก่อให้เกิดรูปแบบอาชญากรรมใหม่ๆ
ที่มีความยุ่งยากซับซ้อนมากขึ้น
เช่นอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาชญากรรมคอมพิวเตอร์
1. อาชญากรรมคอมพิวเตอร์คืออะไร
อาชญากรรมคอมพิวเตอร์
มีการให้นิยามไว้เป็น
2 นัย
นัยแรก
อาชญากรรมคอมพิวเตอร์
หมายความถึงการกระทำใดๆ
ที่เกี่ยวข้องกับการใช้คอมพิวเตอร์
และทำให้ผู้เสียหายนั้นได้รับความเสียหาย
ในขณะเดียวกันก็ทำให้ผู้กระทำความผิดนั้นได้รับประโยชน์
เช่น การลักทรัพย์อุปกรณ์คอมพิวเตอร์
เป็นต้น
นัยที่สอง
อาชญากรรมคอมพิวเตอร์
หมายความถึงการกระทำใดๆ
ที่เป็นความผิดทางอาญา
ซึ่งจะต้องใช้ความรู้เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ในการกระทำความผิดนั้น
เช่น การบิดเบือนข้อมูล
(Extortion), การเผยแพร่รูปอนาจารผู้เยาว์
(Child pornography), การฟอกเงิน
(Money Laundering), ฉ้อโกง
(Fraud), การถอดรหัสโปรแกรมคอมพิวเตอร์
โดยไม่รับอนุญาต แล้วเผยแพร่ให้ผู้อื่นดาวน์โหลดได้
บางครั้งเรียกว่า การโจรกรรมโปรแกรม
(Software Pirating), การจารกรรม
หรือ ขโมยข้อมูล/ ความลับทางการค้าของบริษัท(Corporate
Espionage) เป็นต้น
2. ประเภทของอาชญากรรมคอมพิวเตอร์
ปัจจุบันอาชญากรรมคอมพิวเตอร์เกิดขึ้นหลากหลายรูปแบบ
ทั้งที่มีผลกระทบต่อชีวิต
ระบบรักษาความปลอดภัย
และระบบเศรษฐกิจ การกระทำความผิดที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์แยกออกได้เป็น
3 ส่วน ส่วนแรกคือการใช้คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือในการกระทำความผิด
ส่วนที่สอง คอมพิวเตอร์เป็นวัตถุที่ถูกกระทำความผิด
และส่วนที่สาม การใช้คอมพิวเตอร์หาประโยชน์โดยไม่ได้รับอนุญาติ
จากสามส่วนดังกล่าว
สามารถแยกประเภทของอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ได้เป็น
9 ประเภท ดังนี้
1) อาชญากรรมที่เป็นการขโมยข้อมูล
ซึ่งหมายรวมถึงการขโมยข้อมูลจาก
internet service provider หรือผู้ให้บริการ
หรือผู้ที่มีเว็บไซท์ในอินเตอร์เน็ต
รวมไปถึงการขโมยข้อมูลเพื่อที่จะใช้ประโยชน์ในการลักลอบใช้บริการ
เช่น การขโมยข้อมูลเกี่ยวกับศูนย์โทรศัพท์เพื่อที่จะสามารถควบคุมการใช้โทรศัพท์ของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งโดยเอาข้อมูลนั้นมาเป็นประโยชน์คือเป็นการแอบใช้บริการฟรี
2) อาชญากรนำเอาการสื่อสารผ่านทางคอมพิวเตอร์มาขยายความสามารถในการกระทำความผิดของตน
เช่นอาชญากรธรรมดาทั่วไปที่ทำผิดเกี่ยวกับการขนหรือค้ายาเสพติด
ใช้การสื่อสารผ่านทางคอมพิวเตอร์ติดต่อกับเครือข่ายอาชญากรรมของตนเพื่อขยายความสามารถในการประกอบอาชญากรรม
ซึ่งรวมไปถึงการใช้คอมพิวเตอร์ปกปิด
กลบเกลื่อนการกระทำของตนไม่ให้ผู้อื่นล่วงรู้ได้ด้วยการใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า
encryption หรือการตั้งรหัสการสื่อสารขึ้นมาเฉพาะระหว่างหมู่อาชญากรด้วยกันซึ่งผู้อื่นไม่สามารถเข้าใจได้
3) การละเมิดลิขสิทธิ์
การปลอมแปลง ไม่ว่าจะเป็นการปลอมแปลงเช็ค
การปลอมแปลงรูป เสียง หรือการปลอมแปลงสื่อทางคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า
มัลติมีเดีย หรือรวมทั้งการปลอมแปลงโปรแกรมคอมพิวเตอร์
คดีที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับอาชญากรรมประเภทนี้
ได้แก่
MPAA v. Reimerdes: Cracking DVD with DeCss
ในปลายปี
1999 DVD ขนาดห้านิ้ว
ได้เข้าสู่ตลาดทดแทนวีดีโอ
VHS ที่เราดูกันเมื่อก่อนนี้
ผู้เล่นดีวีดี ได้เล่นแผ่นภาพยนตร์ หรือมิวสิควิดีโอชนิดดิวีดินี้กับเครื่องเล่นดีวีดีเฉพาะ
หรือ กับเครื่องคอมพิวเตอร์ รวมทั้งกับโน๊ตบุ๊คด้วย อย่างไรก็ตาม ดีวีดีสามารถเล่นได้บนคอมพิวเตอร์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการวินโดน์ว
และแมคเท่านั้น แต่ไม่สามารถเล่นได้กับเครื่องที่ใช้ระบบปฏิบัติการแบบโอเพ่นซอส
ของลีนุกซ์ (Linux)
แต่ปรากฎว่า
วัยรุ่นอายุ 15 ปีชาวนอร์เวย์ชื่อ Jon
Johansen ได้คิดค้นโปรแกรมที่เรียกว่า
DeCSS ในการถอดรหัสระบบป้องกันการทำซ้ำของดีวีดี
DeCss ทำให้นักโปรแกรมเมอร์ทั้งหลายเขียนโปรแกรมตามหลัก
DeCss เพื่อทำให้เล่นดีวีดีบนเครื่องคอมพิวเตอร์ทีใช้ลีนุกซ์ได้
เรื่องราวบานปลาย
เพราะกลุ่มแฮคเกอร์ที่มีเว๊บไซต์ชื่อว่า
2600.com ได้ทำการเผยแพร่
ซอสโค๊ด DeCss และนอกจากนั้นทำการลิงค์ไปยังเว๊บต่าง
ๆ ที่มีการพิมพ์ ซอสโค๊ด DeCss เผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ต ไม่นานนัก ปรากฎว่าบรรณาธิการเว๊บ
2600.com สองคนชื่อว่า
Eric Corley และ
Shawn Reimedes ถูกฟ้องในข้อหาทำการกำจัดระบบป้องกันการทำซ้ำ
และเผยแพร่วิธีการกำจัดระบบดังกล่าว
ซึ่งการกระทำอันละเมิด
DMCA มาตรา
1201(a)(2)
ศาลแห่งรัฐนิวยอร์กได้ตัดสิน
ในวันที่ 7 กันยายน 2000 ว่า ให้บรรณาธิการทั้งสองทำการลบข้อมูลที่เกี่ยวกับ
DeCss และยกเลิกการทำการเชื่อมต่อกับเว็บไซต์ที่มีข้อมูลดังกล่าวเสียด้วย
4) การใช้คอมพิวเตอร์และการสื่อสารผ่านทางคอมพิวเตอร์ซึ่งมีเครือข่ายทั่วโลกเผยแพร่ภาพลามกอนาจาร
รวมถึงข้อมูลที่ไม่สมควร
ซึ่งการจะเป็นภาพลามกอนาจาร
หรือไม่สมควรนั้น อาจจะมีปัญหาคุณค่าวัฒนธรรมของแต่ละสังคมว่าจะรับได้หรือไม่
รวมทั้งการใช้คอมพิวเตอร์บอกกล่าวข้อมูลที่ไม่สมควรที่จะเผยแพร่
เช่นวิธีการในการก่ออาชญากรรม
หรือสูตรในการผลิตระเบิด
5) การฟอกเงินทางอิเล็กทรอนิกส์
ซึ่งใช้อุปกรณ์ทางคอมพิวเตอร์และการสื่อสารเป็นเครื่องมือทำให้สามารถกลบเกลื่อนอำพรางตัวตนของผู้กระทำความผิดได้ง่ายขึ้น
6) อันธพาลทางคอมพิวเตอร์
หรือพวกก่อการร้าย ซึ่งไม่เพียงแต่เฉพาะผู้มีจิตใจชั่วร้ายเป็นอาชญากรเท่านั้นที่ทำสิ่งเหล่านี้เพื่อรบกวนผู้ใช้บริการ
แต่ยังมีพวกชอบท้าทายทางเทคนิค
อยากรู้อยากเห็นว่าสามารถเข้าไปแทรกแซงระบบข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นได้มากน้อยเพียงใด
อันธพาลทางคอมพิวเตอร์เปรียบได้กับเด็กเกเรตามท้องถนนที่ชอบวาด
พ่นสีให้เลอะเทอะ อันธพาลดังกล่าวจะทำเช่นเดียวกันคือเข้าไปในเครือข่ายคอมพิวเตอร์แล้วทำลายข้อมูล
หรือตัดต่อ ดัดแปลงภาพ หรือทำสิ่งไม่สมควรต่างๆ นานา เพื่อรบกวนผู้อื่น
นอกจากนั้นยังรวมไปถึงผู้ก่อการร้าย
(terrorist) ที่ใช้อินเตอร์เน็ตในการเผยแพร่ข้อมูลข่มขู่ผู้อื่น
ที่น่ากลัวที่สุดเกี่ยวกับการก่อการร้ายโดยใช้เครื่องมือสื่อสารผ่านคอมพิวเตอร์คือการเข้าไปแทรกแซงทำลายระบบเครือข่ายของสาธารณูปโภค
ซึ่งเป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าในปัจจุบันนี้สาธารณูปโภค
ไม่ว่าจะเรื่องการจ่ายน้ำ
จ่ายไฟ หรือการจราจร ส่วนใหญ่จะควบคุมโดยระบบคอมพิวเตอร์
ซึ่งผู้ก่อการร้ายพวกนี้สามารถเข้าไปแทรกแซงและทำให้ระบบเหล่านี้ให้ทำงานไม่ได้
ดังนั้นจึงเป็นสิ่งจำเป็นมากสำหรับหน่วยงานบริการสาธารณูปโภคที่จะต้องพยายามหามาตรการป้องกัน
โดยต้องพยายามหาจุดอ่อนของตัวเองให้ได้ว่ามีจุดอ่อนต่อการที่ถูกก่อการร้ายได้อย่างไรบ้าง
7) การค้าขายหรือชวนลงทุนโดยหลอกลวงผ่านทางเครือข่ายคอมพิวเตอร์
การให้บริการทางคอมพิวเตอร์มีอยู่มากและสามารถทำเงินได้เป็นอย่างดี
แต่มีพวกหลอกลวงประกาศโฆษณาโดยไม่ได้ให้บริการจริง
หรือชักชวนให้เข้าร่วมลงทุนแต่ไม่ได้มีกิจการเหล่านั้นจริงๆ
ซึ่งบางครั้งจะเห็นว่าโฆษณาหลายอย่างดีเกินไปกว่าที่จะเป็นของจริง
แต่ก็มีผู้ถูกหลอกหลายราย
8) การเข้าแทรกแซงข้อมูลและนำเอาข้อมูลเหล่านั้นมาเป็นประโยชน์ต่อตนโดยมิชอบ
เช่นการที่สามารถผ่านอินเตอร์เน็ตเข้าไปแล้วเข้าไปเจาะล้วงเอาความลับเกี่ยวกับรหัสหมายเลขของบัตรเครดิต
เพื่อนำมาเป็นประโยชน์ในการก่ออาชญากรรมต่อไป
หรือแม้กระทั่งการล้วงความลับทางการค้าซึ่งสามารถทำได้โดยผ่านทางอินเตอร์เน็ตซึ่งอาจเป็นลักษณะของการดักฟังข้อมูลเพื่อที่จะนำมาเป็นประโยชน์กับกิจการของตนเอง
9) การโอนเงิน
เมื่อสามารถเข้าไปในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของธนาคารได้แล้วจะใช้เทคโนโลยีทางคอมพิวเตอร์ไปเปลี่ยนแปลง
ดัดแปลงข้อมูล และโอนทรัพย์สินหรือเงินจากบัญชีหนึ่งเข้าไปอีกบัญชีหนึ่งได้โดยที่ไม่ได้มีการเปลี่ยนถ่ายทรัพย์สินกันจริง
แต่ผลคือสามารถได้ทรัพย์สินนั้นมาด้วยการผ่านทางคอมพิวเตอร์
3. ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันอาชญากรรมคอมพิวเตอร์
ปัญหาเกี่ยวกับการป้องกันอาชญากรรมคอมพิวเตอร์มีดังนี้
1) ปัญหาเรื่องความยากที่จะตรวจสอบว่าจะเกิดเมื่อไร
ที่ไหน อย่างไร ทำให้ยากที่จะป้องกัน ส่วนในบริษัทที่มีระบบการป้องกันข้อมูลของตัวเองนั้นก็เสียค่าใช้จ่ายสูงมาก
ต้องยอมรับว่าค่อนข้างอันตราย
และเป็นการประกอบอาชญากรรมที่ใกล้ชิด
คือสามารถเข้าไปในบ้าน
ไปโน้มน้าวจิตใจวัยรุ่น
ชักชวนให้ออกมากระทำความผิดได้ง่าย
ซึ่งค่อนข้างจะเห็นพิษภัยในส่วนนี้
2) ปัญหาในเรื่องการพิสูจน์การกระทำความผิด
และการตามรอยของความผิด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งความผิดที่เกิดขึ้นโดยผ่านอินเตอร์เน็ต
คงมีคำถามว่าการที่สามี
hack เข้าไปในคอมพิวเตอร์ของโรงพยาบาลเพื่อแก้ไขโปรแกรมการรักษาพยาบาลภรรยา
หรือหลาน hack เข้าไปในคอมพิวเตอร์ของโรงพยาบาลเพื่อจะแก้ไขโปรแกรมการรักษาพยาบาลของลุงนั้น
ตำรวจสืบทราบได้อย่างไร
หากเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นในไทย
จะมีกรรมวิธีในส่วนนี้อย่างไร
โดยเฉพาะในเรื่องผู้ใช้ทางอินเตอร์เน็ต
จะพิสูจน์ได้อย่างไร
เพราะผู้ใช้ในกรณีธรรมดายังยากจะลงโทษหากดูตามคำพิพากษาฎีกาซึ่งลงโทษผู้ใช้น้อยมาก
3) ปัญหาการรับฟังพยานหลักฐาน
ซึ่งจะมีลักษณะที่แตกต่างไปจากหลักฐานในอาชญากรรมธรรมดาอย่างสิ้นเชิง
4) ความยากลำบากในการบังคับใช้กฎหมาย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาชญากรรมเหล่านี้มักเป็นอาชญากรรมข้ามชาติ
5) ปัญหาความไม่รู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่ๆ
ของเจ้าพนักงานในกระบวนการยุติธรรม
เจ้าพนักงานดังกล่าวมีงานล้นมือ
โอกาสที่จะศึกษาเทคนิคใหม่ๆ
หรือกฎหมายใหม่ๆ ทำได้น้อย ประเทศไทยมีผู้พิพากษาประมาณ
2,000 คน อัยการประมาณ 1,600 -
1,700 คน ต่อจำนวนประชากร 60 ล้าน ตำรวจจะมีค่อนข้างมากแต่ตำรวจมักเข้าเกี่ยวข้องกับ
street crimes มากกว่าอาชญากรรมคอมพิวเตอร์
แม้แต่เพียงอาชญากรรมทางเศรษฐกิจธรรมดา
เช่นความผิดเกี่ยวกับการเงิน
การธนาคาร หากมีการกระทำในหัวเมือง เขตอำเภอ กิ่งอำเภอ และมีการไปแจ้งความกับนายดาบอายุมาก
ผลของคดีคงจะเปลี่ยนไปทันที
6) ปัญหาการขาดกฎหมายที่เหมาะสมในการบังคับใช้
กฎหมายแต่ละฉบับบัญญัติมานาน
40-50 ปี แม้แต่กรณีการจูนโทรศัพท์มือถือ
ยังต้องใช้กฎหมายเก่าคือพระราชบัญญัติวิทยุโทรคมนาคม
พ.ศ. 2498 มาใช้ ซึ่งคำพิพากษาศาลฎีกาที่
5354/2539 พิพากษาว่าไม่ผิดฐานลักทรัพย์เมื่อเทียบกับฎีกาเรื่องกระแสไฟฟ้า
แต่ผิดพระราชบัญญัติดังกล่าว
ทำให้เห็นชัดว่ายังขาดความทันสมัยของการมีกฎหมายที่เหมาะสม
ซึ่งขณะนี้ NECTEC ก็พยายามแก้ไขให้แล้ว โดยจัดให้มีการร่างกฎหมายในส่วนนี้ออกมาถึง
6 ชุดด้วยกัน
7) ปัญหาความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีสมัยใหม่
ซึ่งเปลี่ยนแปลงรวดเร็วมากจนทางราชการตามไม่ทัน
เช่นราชการพยายามตามรอยการโอนเงินโดยกฎหมายฟอกเงิน
แต่ขณะนี้การโอนเงินนั้นใช้วิธีโอนผ่านอินเตอร์เน็ตแล้ว
เพราะฉะนั้นยิ่งทำให้สิ่งซึ่งยังไม่มีกฎหมายออกมากลับพบปัญหามากยิ่งขึ้น
4. แนวทางการแก้ไขปัญหา
1) ควรมีการวางแนวทางและกฎเกณฑ์ในการรวบรวมพยานหลักฐานและดำเนินคดีอาชญากรรมคอมพิวเตอร์
เพื่อให้พนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการทราบว่าพยานหลักฐานเช่นไรควรนำเข้าสู่การพิจารณาของศาล
เพื่อให้ลงโทษผู้กระทำความผิดได้
2) ให้มีคณะทำงานในคดีอาชญากรรมคอมพิวเตอร์
พนักงานสอบสวนและอัยการอาจมีความรู้ความชำนาญด้านอาชญากรรมคอมพิวเตอร์น้อย
จึงควรให้บุคคลที่มีความรู้ความชำนาญในด้านดังกล่าว
เข้าร่วมเป็นคณะทำงานเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการดำเนินคดี
3) จัดตั้งหน่วยงานเกี่ยวกับอาชญากรรมคอมพิวเตอร์
เพื่อให้มีเจ้าหน้าที่ที่มีความรู้ความชำนาญเฉพาะในการป้องปรามและดำเนินคดีอาชญากรรมดังกล่าว
4) บัญญัติกฎหมายเฉพาะเกี่ยวกับอาชญากรรมคอมพิวเตอร์
หรือแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายที่มีอยู่ให้ครอบคลุมอาชญากรรมคอมพิวเตอร์
กฎหมายเฉพาะดังกล่าวต้องครอบคลุมการกระทำอันเป็นความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ทุกประเภท
และไม่กำหนดความผิดแก่การกระทำที่ผิดมารยาทในการใช้คอมพิวเตอร์แต่ถึงขนาดไม่เป็นความผิดอาญา
5) ส่งเสริมความร่วมมือกับต่างประเทศทั้งโดยสนธิสัญญาเกี่ยวกับความร่วมมือระหว่างประเทศทางอาญา
หรือโดยวิธีการอื่น
ในการสืบสวนสอบสวน ดำเนินคดี และการป้องปรามอาชญากรรมคอมพิวเตอร์
6) เผยแพร่ความรู้เรื่องอาชญากรรมคอมพิวเตอร์แก่ผู้ใช้คอมพิวเตอร์
หน่วยงาน องค์กรต่างๆ ให้เข้าใจแนวคิด วิธีการของอาชญากรทางคอมพิวเตอร์
เพื่อป้องกันตนจากอาชญากรรม
7) ส่งเสริมจริยธรรมในการใช้คอมพิวเตอร์
ทั้งโดยการสร้างความรู้ความเข้าใจแก่บุคคลทั่วไปในการใช้คอมพิวเตอร์อย่างถูกต้อง
และโดยการปลูกฝังเด็กตั้งแต่ในวัยเรียนให้เข้าใจกฎเกณฑ์
มารยาทในเรื่องการใช้คอมพิวเตอร์และเครือข่ายดังกล่าว
5. มารยาททั่วไปในการใช้เครือข่าย
ปัจจุบันมีความพยายามจากหลายๆ
ฝ่ายได้พยายามหามาตรการป้องกันปัญหา
และภัยจากการใช้อินเทอร์เน็ต
ซึ่งมักเกิดจากคนที่ขาดจิตสำนึกที่ดีต่อสังคม
จึงเป็นหน้าที่ของเราทุกคนที่สร้างจิตสำนึกที่ดีทั้งตนเอง
และคนรอบข้างเพื่อหลีกเลี่ยงและรับมือกับความเสี่ยงภัยอนไลน์ที่จะเกิดขึ้น
ซึ่งมารยาททั่วไปในการใช้เครือข่ายกับผู้ใช้อืนๆ
มีดังนี้
1) ไม่ใช้เครือข่ายเพื่อการทำร้ายหรือรบกวนผู้อื่น
2) ไม่ใช้เครือข่ายเพื่อการทำผิดกฎหมาย
หรือผิดศีลธรรม
3) ไม่ใช้บัญชีอินเทอร์เน็ตของผู้อื่น
และไม่ใช้เครือข่ายที่ไม่ได้รับอนุญาต
4) ไม่คัดลอกโปรแกรม
รูปภาพ หรือสิ่งใดบนอินเทอร์เน็ตมาใช้
โดยมิได้ขออนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์
5) ไม่
ฝ่าฝืนกฎระเบียบของหน่วยงานหรือบริษัทที่ท่านใช้บริการอินเทอร์เน็ต
6) ไม่เจาะระบบเครือข่ายของตนเองและผู้อื่น
ไม่ท้าทายให้คนอื่นมาเจาะระบบ
7) การติดต่อสื่อสารกับผู้อื่นบนอินเทอร์เน็ต
ต้องกระทำด้วยความสุภาพเคารพและให้เกียรติซึ่งกันและกัน
8) หากพบรูรั่วของระบบ
พบเบาะแส หรือ บุคคลที่มีพฤติกรรมน่าสงสัยที่อาจเป็นอันตรายต่อผู้อื่น
ให้รีบแจ้งผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตหรือผู้ดูแลระบบทันที
9) เมื่อจะเลิกใช้ระบบอินเทอร์เน็ตอย่างถาวร
ให้ลบข้อมูลและแจ้งผู้ดูแลระบบ
อย่าทิ้งร้างบัญชีอินเทอร์เน็ตเป็นเวลานาน
เพราะอาจเปิดช่องโหว่ให้มิจฉาชีพเจาะระบบเข้ามาสร้างความเสียหายได้
6. การหลีกเลี่ยงและรับมือกับภัยออนไลน์
1) หลีกเลี่ยงการระบุชื่อจริง
เพศ หรืออายุ เมื่อใช้บริการบนอินเทอร์เน็ต
เพราะตามสถิติแล้ว เพศหญิงตกเป็นเป้าของคนร้ายมากกว่าเพศชาย
และเด็กตกเป็นเหยื่อมากกว่าผู้ใหญ่
2) หลีกเลี่ยงการส่งข้อมูลส่วนตัว
ภาพถ่ายของตนเองหรือบุคคลในครอบครัวทางอินเทอร์เน็ต
เพราะรูปภาพอาจโดนตัดต่อ
ข้อมูลส่วนตัวอาจส่งผลร้ายหากตกไปอยู่ในมือมิจฉาชีพ
3) หลีกเลี่ยงการโต้ตอบกับบุคคล
หรือข้อความที่ทำให้รู้สึกอึดอัดไม่สบายใจ
เพราะทุกคนมีสิทธิปฏิเสธกับผู้อื่นได้อิสระ
4) หลีกเลี่ยงการสนทนาหรื
อนัดหมายกั บคนแปลกหน้า คนแปลกหน้า ในที่นี้หมายถึงเพื่อนที่รู้จักทางอินเทอร์เน็ต
เพราะเราไม่อาจตรวจสอบตัวตนของเขาว่าเป็นจริงอย่างที่บอกหรือไม่
5) หลีกเลี่ยงการสั่งซื้อสินค้าหรือสมัครสมาชิกโดยมิได้อ่านเงื่อนไขให้ละเอียดเสียก่อน
มีสินค้าต้องห้าม รวมถึงมีลัทธิความเชื่อต่างๆ
มากมายที่สังคมไม่ยอมรับอยู่บนอินเทอร์เน็ต
6) ไม่คัดลอกโปรแกรม
ข้อมูล รูปภาพ หรือสิ่งใดจากอินเทอร์เน็ต
โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์
และไม่ได้ผ่านการตรวจสอบไวรัสคอมพิวเตอร์หรือโปรแกรมแอบแฝงที่อาจนำความเสียหายมาสู่เครื่องคอมพิวเตอร์และเครือข่ายของตน
สำหรับการหลีกเลี่ยงภัยจากอินเตอร์เน็ตเป็นเพียงการป้องกันตนเองเท่านั้น
แต่ความรับผิดชอบต่อสังคมที่ทุกคนพึงมีคือการมีมีจิตสำนึกที่ดีต่อสังคม
ถ้าทุกคนในสังคมแห่งไซเบอร์ช่วยกัน
โลกไร้อาชญากรรมคอมพิวเตอร์อย่างแน่นอน